บอดี้การ์ด ตอน...นายต้องเชื่อฟังฉัน.... - บอดี้การ์ด ตอน...นายต้องเชื่อฟังฉัน.... นิยาย บอดี้การ์ด ตอน...นายต้องเชื่อฟังฉัน.... : Dek-D.com - Writer

    บอดี้การ์ด ตอน...นายต้องเชื่อฟังฉัน....

    ผมตื่นลืมตาขึ้นมาที่โรงแรมกลางใจเมืองไทย เมืองที่ได้ชื่อว่าสยามเมืองยิ้ม ผู้คนที่นี่ยิ้มแย้มแจ่มใสทักทายกันด้วยความจริงใจ ผมบิดขี้เกียจสองสามที แล้วลุกขึ้นดึงม่านออกเพื่อมองดูโลกนอกหน้าต่างนั

    ผู้เข้าชมรวม

    230

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    230

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    3
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  22 ก.ค. 60 / 08:40 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

             ผมตื่นลืมตาขึ้นมาที่โรงแรมกลางใจเมืองไทย เมืองที่ได้ชื่อว่าสยามเมืองยิ้ม ผู้คนที่นี่ยิ้มแย้มแจ่มใสทักทายกันด้วยความจริงใจ ผมบิดขี้เกียจสองสามที แล้วลุกขึ้นดึงม่านออกเพื่อมองดูโลกนอกหน้าต่างนั้น 

    “เมืองไทยจริงๆ ด้วยแฮะ” ผมยิ้มที่มุมปาก 

    “สบายซะทีเรา” ผมพึมพำอีกแกะโทรศัพท์เพื่อเปลี่ยนซิมของประเทศจีนมาเป็นของประเทศไทย แล้วก็เปลี่ยนใจใส่กลับที่เดิมเหมือนเอาไว้ใช้วีแชทแทนละกัน ผมคิดแล้วเบะปากน้อยๆ พลันเสียงโทรศัพท์อีกเครื่องก็ดังขึ้น ผมส่ายหน้าน้อยๆ 

    “ไม่นะ ฉันมาอยู่เมืองไทยแล้ว ยังจะโทรมากันอีกทำไมเนี่ย” ปากบ่นแต่ก็รับสาย 

    “ครับเฮียหลิว” เสียงปลายสายพูดกรอกมาตาม 

    “นายถึงแล้วใช่มั้ย อยู่นิ่งๆ อย่าหาเรื่องใส่ตัวนะ ถ้ามีงานจะแจ้งไป” ผมอยากจะขว้างโทรศัพท์เครื่องนั้นทิ้งไปเลย บ้าชะมัด!!


    บินมาไกลขนาดนี้ ยังมีจะเสียงเฮียตามรบกวนอีก เซ็ง!!! ผมนั่งไขว้ห้างที่มุมห้อง ทอดสายตาออกไปข้างนอก แล้วลุกไปอาบน้ำ วันนี้จะไปไหนดีนะ เมืองไทยมีที่ที่น่าสนใจเยอะแยะนี่น่า ผมคว้ากางเกงที่ขาดเว้าแหว่งแต่ไม่ถึงกับขาดวิ่น เสื้อดันเกี่ยวกับอะไรชายเสื้อขาดนิดหนึ่ง ช่างเหอะ!! เดี๋ยวค่อยหาซื้อเอาใหม่ แต่ลองสวมแล้วก็แนวดีนะ 5555 หยิบหมวกมาสวม 


    “อืม เรานี่ก็หล่อไม่เบานะ” ทุกคนคงอยากรู้ว่า ผมเป็นมาทำไมอะไรที่เมืองไทย 


    ผมชื่อ หวง จิ่ง อวี้ เป็นบอดี้การ์ดดูแลพวกดารา หรือซุป’ตาร์แล้วแต่ว่า เฮียหลิวจะสั่งให้ไปดูแลใคร แต่ผมมีกฎของผมนะ ถ้าให้ผมดูแลก็ต้องเชื่อฟังผม จะดังขนาดไหนก็ตามเหอะ!! ถ้าไม่เชื่อฟัง ผมก็ขอบายผมไม่ทำ นี่คือกฎ เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นผมต้องรับผิดชอบ ฉะนั้นต้องฟังผมจริงมั้ยครับ???  ผมก้าวขายาวๆ ออกจากโรงแรมเดินชมโน่น นี่ นั่น อย่างสบายใจ ไม่ต้องรอคำสั่งใคร ไม่ต้องวิ่งตามใครให้ปวดหัว 


    “เพี้ยง!!ขออย่าให้เฮียรับงานใครมาให้ตอนนี้เลยนะ” ผมบ่นในใจเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ 


    BKK อยู่ตรงหน้าพารากอนอยู่ด้านหลังเดินที่ไหนดีนะ แล้วผมก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในพารากอนห้างดังของเมืองไทย ที่นี่มีสิ่งของมากมายให้ผมได้เลือกสรร ผมเดินชมอย่างตื่นตาตื่นใจ ร่างสูงโย่ง ใหญ่โตของผมก้าวไปที่ใดทุกคนต่างหันมามองและให้ความสนใจ ผมนึกในใจ 

    “เขามองว่าเราหล่อ รึว่าสงสัยชายเสื้อที่ขาดวะ” แต่ผมก็ไม่ได้สนใจสายตาเหล่านั้นที่จ้องผมเท่าใดนัก ผมยังคงดูไปเรื่อยๆ แล้วแวะหาอะไรดื่ม เมืองไทยน่าอยู่มากผู้คนอัธยาศัยดี ผมใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารกับคนที่นี่ กำลังนั่งจิบเพลิดๆ เฮียหลิวก็โทรมาอีกรอบ

     “ว่าไง เฮีย ผมพักอยู่นะ จะโทรหาทำไมนักหนา” เฮียหลิวละล่ำละลั่กมาตามสาย 

    “เออ เฮียขอโทษที่รบกวน แต่มันมีเรื่องด่วนจริงๆ” ผมวางแก้วในมือลง อารมณ์เริ่มขุ่นมัว  

    “อะไรของเฮีย” เฮียหลิวอ้อมแอ้มมาว่า 

    “คือทุกคนรับงานไปหมดแล้ว เหลือนายคนเดียว มันสุดวิสัยจริงๆ นะ ช่วยเฮียหน่อยนะ วาฬของเฮีย” ผมฉุนขาด 

    “เฮีย!!!อย่ามาเรียกผมแบบนี้นะ ผมไม่ใจอ่อนกับเฮียหรอก” เฮียยังอ้อนไม่เลิก 

    “น่านะ วาฬของเฮีย ไม่งั้นเฮียโดนฟ้องแน่ๆ นะวาฬนะ ถือว่าช่วยเฮียเถอะ กลับมาก่อนนะ เฮียขอร้องละ” ผมแทบจะปาแก้วทิ้งเพราะโมโห วันหยุดของฉัน นึกพาลไปถึงคนที่ต้องดูแลไปโน่น


                      “ใครวะ เฮียถึงต้องขอร้องให้เรากลับด่วนแบบนี้ คอยดูนะ พ่อจะป่วนให้ ฮึ!!อยากได้นักใช่มั้ย บอดี้การ์ดเนี่ย”

                        


                       ผมเก็บของลวกๆ โยนใส่กระเป๋าเช็คเอาท์ตรงไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ ผู้คนค่อนข้างพลุกพล่านในใจผมขุ่นมัว นึกเกลียดขี้หน้าคนที่ผมจะต้องไปดูแล 

                      “ซุป’ตาร์บ้าคนไหนว่ะ บังอาจมาทำลายวันหยุดอันแสนสุขของฉัน คอยดูนะจะป่วนให้  รู้จัก วาฬน้อยไปล่ะ ฮึ!!” ผมยิ้มร้ายที่มุมปากจนเห็นเขี้ยวโผล่ออกมา 

                      

                       ไม่นานนักผมก็ได้ยินเสียงประกาศให้เตรียมตัวขึ้นเครื่องผมรีบวิ่งเข้าขึ้นเครื่องทันที ได้ที่นั่งริมหน้าต่างซะด้วย อย่างน้อยๆ ก็ไม่เลวร้ายนักสำหรับเที่ยวบินนี้ ผมคาดเข็มขัดหลับตาลง  ผมไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน  มารู้สึกตัวอีกทีเครื่องก็ลงจอดสงบนิ่งบนรันเวย์แล้ว ผมรีบปลดเข็มขัดออกจากเอว เดินดุ่มๆ ลงเครื่องตรงไปเช็คของรับกระเป๋าตรงไปที่ GATE 3 ที่นั่นผมพบว่า เฮียหลิวยืนรอด้วยความร้อนใจ 

                       “นาย” ผมรีบโบกมือใส่

                       “ผมไม่อยากฟัง” ผมก้าวขึ้นรถเอนหลังแล้วหลับตาลง เฮียหลิวถอนใจเฮือก มองเห็นความยุ่งยากอยู่เบื้องหน้า เฮียส่ายหน้าอย่างรู้ชะตากรรม พลางนึกในใจ 

                       “ซวยแล้ว เจ้หลี่ แกนะแก ทำไมต้องอยากได้ ไอ้วาฬของฉันด้วยนะ มันเกรียนจะตาย เฮ้อ!!” ผมเรียกเมื่อเฮียไม่ออกรถสักที 

                        “เฮียตกลงจะกลับมั้ยเนี่ย” เฮียหลิวรีบรนรานขับรถทะยานออกจากสนามบินทันที ในความเงียบเฮียก็เรียกอีกรอบ 

                        “วาฬของเฮีย ฟังเฮียนิดนะ งานนี้เฮียให้สองเท่าเลยนะ” ผมหรี่ตามอง เฮียรีบพูดต่อ

                         “พอดีว่า เจ้หลี่เขาติดต่อมา แล้วระบุเลยนะว่า ต้องเป็นนาย” ผมหลับตาฟังนิ่งๆ ใจอยากถาม แต่ก็เงียบเอาไว้

                          “แต่มันเป็นพักร้อนของผม” เฮียรีบอธิบาย 

                          “เฮียเข้าใจ แต่เฮียไม่มีใครแล้วนิ”  ผมถอนใจหลับต่อ 

                            “ถึงแล้วปลุกด้วยง่วง!!” ผมกระแทกเสียงเฮียหลิวถอนใจตามกรรมแล้ว เจ้หลี่

                       “ถึงแล้ว ตื่นได้แล้ว” ผมปรือตาขึ้นมอง “พรุ่งนี้กี่โมงเฮีย” ผมถามแล้วปิดปากหาว “ไม่น่าจะเกิน 09.00โมง นายเตรียมตัวรอละกัน เดี๋ยวเฮียไปส่ง” ผมหันไปมอง “ทำไมต้องไปส่ง งานนี้คงสำคัญมากซินะ” เฮียหลิวพยักหน้าส่งเดช กลัวแกไปวีนนั่นแหละ ถึงไปส่ง ไอ้วาฬ เฮียหลิวนึกในใจ ผมหรี่ตามองอย่างรู้ทัน “เฮียผมบอกไว้ก่อนนะ ให้ผมเป็นบอดี้การ์ด ก็ต้องฟังกฎของผม เฮียบอกเขารึยัง” เฮียรีบรับคำ “บอกแล้ว บอกแล้ว” ผมยิ้มที่มุมปาก “งั้นผมไปนอนล่ะ บายเฮีย” เฮียหลิวถอนใจ เฮ้อ!!งานนี้จะรอดมั้ยตู แต่ต้องสะดุ้งเพราะเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น “เฮียหลิว การ์ดวาฬ ตกลงป่ะ” เจ้หลี่เจื้อยแจ้วมาตามสาย “มาแล้ว พรุ่งนี้จะพาไปส่งนะ ว่าแต่ว่าจะให้ไปดูแลใคร ขอรายละเอียดหน่อย” เจ้หลี่นิ่งไปสักพักก่อนจะตอบกลับมา “สวี่เว่ยโจว นักร้องดังตอนนี้ไง ตามนี้นะ” แล้ววางสายทันที เฮียหลิวทำหน้าอยากตาย “ตายๆๆ ซุป’ตาร์เรื่องมากคนนั้น โอ้ย!!งานนี้ ตูอยากจะบ้า” เฮียหลิวเกาหัวด้วยความวิตก แต่รับปากไปแล้วนิ วันรุ่งขึ้นเฮียรีบมารอ ผมแต่เช้า “ผมต้องไปดูแลใครเฮีย” เฮียอึกอักที่จะตอบ “สวี่เว่ยโจว นักร้องวัยรุ่นที่กำลังโด่งดังตอนนี้ วันนี้เขามีงานเปิดซิงเกิ้ลใหม่” ผมนิ่งฟัง “อืม” เฮียหลิวลอบสังเกตว่าผมนิ่งๆ ไม่ทีท่าอะไร “นาย OK ใช่มั้ย” ผมพยักหน้า “ก็เฮียรับปากเขาไปแล้วนิ แถมผมได้ถึงสองเท่าของค่าจ้าง” เฮียยิ้ม

    โล่งอก “นายพร้อมรึยัง เฮียจะไปส่ง” ผมพยักหน้า ไม่นานพวกเราก็มาถึงงาน “เฮียโทรหาเจ้หลี่แป๊บนึง”

    เมื่อเจ้หลี่รับสาย ผมมองไปรอบๆ งานเห็นเจ้หลี่ยืนโบกมือโบกไม้ เลยสะกิดเฮีย “เฮียๆ โน่นป่ะ เจ้หลี่อ่ะ” เฮียมองตาม “ช่ายๆ นายเข้าไปเลย เฮียส่งแค่ตรงนี้ละ” ผมก้าวเท้ายาวๆ ไปหาเจ้หลี่ทันที “สวัสดีครับเจ้หลี่” เจ้หลี่ยิ้มบางๆ “เข้าไปในงานเลย เดี๋ยวจะแนะนำให้รู้จักน้อง คอยกันคนให้น้องด้วย งานนี้เหนื่อยหน่อยนะ มีฝ่ายตรงข้ามจะเข้ามาด้วยตรวจดูให้ดีด้วยล่ะ” ผมพยักหน้าแล้วเดินตามเจ้หลี่ไป เจ้หลี่พาผมเข้ามาในงาน “เดี๋ยวน้องก็ออกมา นายคอยกันคนให้น้องด้วย เดินแบบเสร็จก็ต้องรีบไปอื่นอีก วันนี้น้องมีงาน 3 งาน นายเข้าใจนะ” ผมพยักหน้าตาจ้องที่ประตูเขม็งไม่นานพวกนางแบบ ก็ทะยอยกันออกมา แล้วนายสวี่เว่ยโจวก็เดินโทงๆ ออกมา เสื้อคอเต่าสีเหลือง มีเสื้อนอกยาวเกือบถึงเข่าอีกตัว หุ หุ ผมอดขำไม่ได้ แต่ต้องหยุดขำเพราะสายตาของนายสวี่เว่ยโจวจ้องเขม็งมา “นายขำอะไรวะ!!” สายตาแบบนี้เหมือนคาดโทษทำให้ผมหยุดขำแทบไม่ทัน “บ้าจริง!!นายเป็นใครมายืนขำฉัน ฮึ!” จอมเหวี่ยงเดินเข้าประตูไปแต่ไม่วายคิด “หน้าตาก็ดีแต่ไม่มีมารยาท” สวี่เว่ยโจวยังตำหนิในใจไม่หยุดเจ้หลี่ยืนรอรับด้านหลังพร้อมกับผม พอเหลือบเห็นผมเท่านั้นแหละชะงักกึก “เจ้ นายคนนี้เป็นใคร” เจ้หลี่รีบแนะนำ “โจว โจว นี่หวง จิ่ง อวี้ เป็นบอดี้การ์ดของเรา เขาจะไปกับเราทุกงานนะ” สวี่เว่ยโจวไม่ทักทายแต่สะบัดหน้าพรืดใส่ทันที

    เจ้หลี่ถึงกับเหวอ “อ้าว โจว โจว” สวี่เว่ยโจวเดินลิ่วทันทีแต่ไม่รู้จะไปทางไหน เพราะปกติเจ้หลี่นำทางให้ตลอด ผมเลยต้องดึงแขนเล็กๆ นั่นให้หยุด “อ๊ะ!!นาย” ผมกึ่งจูงกึ่งลากมาตามเจ้หลี่ และคอยกันแฟนคลับไปด้วย คนตัวเล็กทำท่าจะสะบัดแต่ก็ไม่ทำ จนพ้นแฟนคลับออกมาจึงสะบัดแขนจากการเกาะกุม “ฉันเดินเองได้” ผมสนที่ไหนล่ะ ปล่อยทันทีเหมือนกัน เป็นเหตุให้คนตัวเล็กเซถลาเลยทีเดียว ก่อนที่ก้นจะกระแทกลงพื้นผมตัดสินใจคว้าหมับเข้าที่เอวอย่างเหมาะเหม็ง “ระวังหน่อยซิ ซุป’ตาร์” สวี่เว่ยโจวสะบัดอีกครั้ง “คราวนี้ผมไม่รับแล้วนะ” แล้วค่อยๆ คลายแขนออก สวี่เว่ยโจว รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ พิกล “บ้าจริง!!” เจ้หลี่หันมาเห็นพอดี “ตายแล้ว โจว โจว เจ็บตรงไหนรึเปล่า” เจ้หลี่ลูบหน้าลูบหลังอย่างเอา ผมนึกในใจ “ก็งี้ซินะ ถึงเอาแต่ใจ เฮ้อ!!” เจ้หลี่รีบประคองอย่างเอาใจ นี่ถ้าอุ้มใส่เอวได้นางคงทำไปล่ะ ผมมองตามอย่างขำๆ แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไรสวี่เว่ยโจวหันมาเจออีกล่ะ คราวนี้หยุดเดินกึกทันที “นายหัวเราะฉันรึไง” เจ้หลี่รีบไกล่เกลี่ย “โจว โจว รีบไปเถอะเดี๋ยวไม่ทัน” สวี่เว่ยโจวหันขวับ “ไม่!! ต้องเคลียร์กับนายนี่ก่อน 2 ครั้งแล้วนะที่นายหัวเราะเยาะ” ผมทำหน้า งงๆ ใส่ชี้นิ้วหาตัวเอง “ช่าย นายนั่นแหละ” ผมอมยิ้ม “ผมหัวเราะเยาะคุณตรงไหน ผมอาจจะขำอะไรก็ได้ คุณสำคัญตัวผิดไปนะ” สวี่เว่ยโจวเหมือนโดนตบหน้า อารมณ์พุ่งปรี๊ด “นาย!!” สวี่เว่ยโจวตวาดดังลั่น เจ้หลี่รีบจูงแขนออกจากที่นั่นทันที “โจว โจว ฟังเจ้นะ รีบไป”

     เจ้หลี่กระตุกแขนเพราะไม่อยากให้ใครมาเห็น “เจ้หลี่ เปลี่ยนการ์ดเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นผมจะไม่ไปงาน” ผมรีบบอก “ไม่ต้องเปลี่ยนผมไปเองครับ” พูดจบร่างโย่งๆ นั้นก็ก้าวพรวดๆ ออกไปทันทีมีหรือสวี่เว่ยโจวคนมั่นจะยอมเสียหน้า “นี่!!นาย” ผมหยุดกึก อะไรอีกนะ “ว่าไงครับ ตกลงจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน” เจ้หลี่มองหน้าผมที สวี่เว่ยโจวคนมั่นที “โจว โจว เจ้ขอร้อง” สวี่เว่ยโจวหยุดยอมเดินตามเจ้หลี่แต่สายตายังไม่ยอม ผมเจอพวกซุป’ตาร์เอาแต่ใจมาเยอะแล้ว ยิ่งพวกที่กำลังดังยิ่งเยอะ สวี่เว่ยโจว ก็คงไม่ต่างกันผมคิด เมื่อนั่งบนรถเรียบร้อยเจ้หลี่แตะที่แขนผมเบาๆ “อย่าถือสา โจว โจว เลยนะเขาเหนื่อยเลยวีนไปบ้าง อีกอย่างเขาเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจตัวเอง เลยไม่พอใจที่เห็นใครยิ้ม” ผมทำหน้า งง เจ้หลี่พยักหน้า “ไปเหอะ” นี่ผมต้องอดทนกับคนตัวเล็กบางนี่ด้วยรึ ฮึ!!“สวี่เว่ยโจว ซุป’ตาร์เรื่องมากมีปม” ผมนึกค่อนขอดในใจ พอขึ้นรถไปก็พบว่า คนร่างเล็กนั่งพิงเบาะหลับไปแล้ว เจ้หลี่พยักหน้าไปที่คนร่างเล็ก “เขาเหนื่อยช่วงนี้งานติดๆ กัน” ผมเหลือบมองตามพยักหน้าตาม “ครับ” เจ้หลี่ยังพูดต่อ “อย่าถือสาเขาเลยนะ”

    พยักหน้าอีกรอบ เจ้หลี่พาเรามาอีกที่หนึ่งเพื่อให้คนร่างเล็กสัมภาษณ์งาน เจ้หลี่บอกให้ผมปลุกคนร่างเล็ก “เดี๋ยวนายช่วยปลุก โจว โจว ให้หน่อยนะ แล้วรีบตามมาล่ะ” ห๊ะ!! ปลุกนายนั่น เนี่ยนะ แต่ก็ต้องทำ ผมเอื้อมมือสะกิดเบาๆ ที่ไหล่ “นายๆ นายถึงแล้ว” สวี่เว่ยโจวปรือตาขึ้นอ้าปากหาว อย่างเป็นตัวเองไม่มั่นหน้า แต่พอหันมาเห็นผมก็ปั้นหน้าทันที ผมนึกถึงคำพูดของเจ้หลี่ จึงพยายามไม่ขำ ไม่อมยิ้ม “เจ้หลี่ล่ะ” สวี่เว่ยโจวถามขึ้นเมื่อก้าวลงรถมา “เขาบอกให้ผมพาคุณไปตรงนั่นจะได้ไม่เจอแฟนคลับ” สวี่เว่ยโจวเดินเงียบๆ นำไป ผมก้าวตาม “นายหิวมั้ย” ผมส่งกล่องนมให้ “ขอบใจ” สวี่เว่ยโจวคว้ากล่องนมมาดูดอย่างหิวจริงๆ ดูแล้วไม่น่ามีพิษสงอะไร แต่เวลาวีนน่าตีพิลึก มาสะดุ้งเพราะเสียงโยนกล่องนมกระทบถังขยะ “นายกินไวจัง” สวีเว่ยโจวไม่ตอบรีบเดินไปหาเจ้หลี่ทันที “เร็วซินาย เดี๋ยวเจ้รอ” คราวนี้สวี่เว่ยโจวคว้าแขนผมเดิน “อ้าวมากันแล้ว โจว โจว เข้าไปทางนี้เลย อีก 5 นาทีจะเริ่มสัมภาษณ์แล้ว นายวาฬเข้ามานี่ ยืนตรงนี้นะ ถ้าโจว โจว ออกมานายรีบพาไปที่รถเลยระวังแฟนคลับด้วย” ผมพยักหน้ารับทราบตามที่เจ้หลี่สั่ง ผมนั่งดูสวี่เว่ยโจว ที่ให้สัมภาษณ์มีอยู่ท่อนนึงพิธีกรถามว่า “โจว โจว คุณชอบสัตว์อะไรมากที่สุด” สวี่เว่ยโจวยิ้มสดใสก่อนตอบ “ผมชอบแมวครับ” พิธีกรหัวเราะน้อยๆ “ทำไมถึงชอบแมวละครับ อธิบายหน่อย” สวี่เว่ยโจวทำท่าคิดก่อนตอบ “เพราะมีคนบอกว่า ผมเหมือนแมวครับ” พร้อมทำท่าเลียนแบบน้องเหมียวได้อย่างน่ารัก ผมมองภาพนั้นแล้วอมยิ้มไม่อยากเชื่อว่า ผู้ชายคนนี้จะมีมุมที่น่ารักแบบนี้ด้วย มุมมองของผมเริ่มเปลี่ยน ผมจ้องมองภาพเบื้องหน้าได้คราวละนานๆ โดยไม่รู้สึกเบื่อหน่ายน่ารำคาญ เหมือนคราวแรกๆ เมื่อเสร็จจากงานสัมภาษณ์ผมรีบเข้าไปรอรับ สวี่เว่ยโจวผมยื่นมือให้เขาจับ เขาทำหน้า งง ผมเลยตัดสินใจคว้าข้อมือนั่นซะเอง “เฮ้ย!!นาย” ผมไม่ฟังคำอุทานใดๆ รีบพามาที่รถที่เจ้หลี่สตาร์ทเครื่องรอ คนถูกจูงมีสีหน้าตื่นเต้น ผมทำหน้านิ่งๆ เจ้หลี่ยกนิ้วให้ผมยักคิ้วตอบ สวี่เว่ยโจวนั่งเบะปากเป่าลม ผมส่ายหน้าอดขำไม่ได้ คนร่างเล็กถลึงตาใส่ ผมยักไหล่เจ้หลี่พลิกข้อมือดูนาฬิกา “อีกงานเดียวนะ โจว โจว เดี๋ยวจะได้พักแล้ว พรุ่งนี้ได้พักเต็มๆ หนึ่งวัน” คนร่างเล็กตาเป็นประกาย “จริงนะเจ้ หมดแล้วใช่มั้ย”

                  “ช่ายยย” เจ้หลี่พามาที่ร้านอาหารที่ใหญ่โตหรูหรา เรานั่งโต๊ะ VIP ผมเดินไปส่งโจว โจวอีกครั้งช่วยถือกีตาร์ด้วย นึกสงสัยทำไมคนร่างเล็กคนนี้เก่งจังว่ะ??? ทำงานหลายๆ อย่างได้แทบพร้อมๆ กัน  วิ่งไปทั่วท่าทางเหนื่อยแต่ไม่พูด ไอ้ที่เหวี่ยงเพราะไม่มั่นใจกลัวคนรู้ อืม!! นายนี่มัน คนเหล็กชัดๆ ผมนึกชื่นชม เมื่อกลับมานั่งที่โต๊ะ เจ้หลี่ส่งเบียร์ให้ผม ผมได้แต่ส่ายหน้า “ไม่ครับขอบคุณ” เจ้หลี่จิบเบาๆ ผมนั่งจ้องคนร่างเล็กที่ร้องเพลงบนเวที โซโลกีตาร์ ด้วยท่าทางมีความสุขเมื่ออยู่บนเวที หน้าตาท่าทางกวนๆ แทบไม่หลงเหลือให้เห็น มีแต่ความสดใสน่ามองทุกท่วงท่าด้วยซ้ำไป บางครั้งหันมาสบตาผม ผมกลืนน้ำลายลงคอเอื๊อกใหญ่ สายตานายมันบอกไม่ถูกเลย จนผมต้องหลบสายตานั่น คว้าแก้วเบียร์มาจิบแก้เก้อ “อ้าว!!ไหนว่าไม่กินไง” ผมยิ้มแห้งๆ แก้เก้อ เกือบสี่ทุ่มงานจึงเลิก สวี่เว่ยโจวเดินลงมาจากเวทีทักทายแฟนคลับ ผมก้าวเข้าไปอย่างรู้งานคอยกันไม่ให้โดนรุม จนมานั่งที่โต๊ะ เจ้หลี่ส่งเบียร์ให้ทันที “เอาหน่อย พรุ่งนี้พักได้” ผมสังเกตว่าเขายิ้มสดใสรับแก้วไปจิบอย่างเย็นใจ สวี่เว่ยโจวหันมามองหน้าผม “นายไม่กินรึ” ผมส่ายหน้า “พอแล้ว กินทุกคนใครจะขับรถล่ะ” เจ้หลี่ยิ้ม “งั้นชน โจว โจว”สวี่เว่ยโจว

    กระหน่ำชนไม่ยั้งจนคนร่างเล็กแก้มเป็นสีชมพู ตาปรือเพราะฤทธิ์ของเบียร์ที่กระหน่ำดื่มผมนั่งอมยิ้มมองคนร่างเล็กที่เอนไปเอนมาจนผมต้องประคองไว้ ทำไปทำมาซบไหล่ผมเลย คนเมาหัวเราะเอิ๊กอ๊าก “นี่ตาบื้อ!!” ผมคิ้วขมวด “นายเรียกใครตาบื้อ” คนร่างเล็กตาปรือได้ที่ชี้นิ้ววนไปที่อก “ก็นายไง ตาบื้อ!!!เอิ๊ก” ผมอยากรู้เลยถามต่อ “ทำไมเรียกแบบนั้น” คนร่างเล็กแหงนหน้าสบตา “ก็นายมันตัวใหญ่เหมือนจิ้งโจ้ หน้าตาซื่อบื้อ วางมาด ตาบื้อ” ผมกลั้นขำแทบไม่อยู่ “นายเมามากไปแล้วนะ เหมียวๆ” คราวนี้คนร่างเล็กสะบัดเสียง “ใครเหมียว??” ผมอมยิ้มกวนคนเมา จิ้มที่หน้าผากเบาๆ “ก็นายไง เหมียวโจว” คนร่างเล็กมีรึจะยอมจิ้มที่หน้าของผมเต็มแรง “ตาบื้อ” แล้วก็หน้าทิ่มลงบนอกผมแทน “อ้าว!!เฮ้ย นายๆ” ผมเขย่าร่างนั้นโยกเหยกไปมาตามแรงเขย่าของผม คอพับคออ่อน ส่วนเจ้หลี่ก็ตาปรือได้ที่อีกคน อะไรเนี่ยผมมาเป็นบอดี้การ์ดใช่มั้ย แล้วตัองมีหน้าที่เก็บศพ ผู้จัดการซุป’ตาร์ กับซุป’ตาร์ขาวีนนี้ด้วยม่ะ ผมได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างระอา “เจ้หลี่ๆ เดินไหวมั้ย” เจ้พยักหน้าหงึกหงักลุกขึ้นเดินเป๋ไปเป๋มา ส่วนซุป’ตาร์ตัวดีไม่ต้องพูดถึง เมาคอพับหมดสภาพ ผมตัดสินใจยกคนร่างบางพาดบ่าเดินออกจากร้าน เจ้หลี่ไขกุญแจไม่ได้ซักทีเพราะความเมา สุดท้ายผมก็ต้องไขเอง จับสองเมายัดใส่รถ นึกในใจ “ผู้ชายอะไรว่ะ โคตรบอบบาง ตัวเบาอย่างกะนุ่นยกมือเดียวแทบปลิว ข้าวแทบไม่ได้แตะ แล้วดันกินแบบนั้น ไม่เมาตายก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว” ผมบ่นเบาๆ ค่อยๆ ขับรถออกจากร้านมุ่งสู่บ้านเจ้หลี่ ลากเจ้หลี่เข้าบ้าน ห่มผ้าให้ “เรียบร้อยแล้วหนึ่ง แล้วอีกศพบนรถบ้านอยู่ไหนว่ะ แล้วจะเอาไปไว้ไหนล่ะ บ้าชิบ!!” ผมเลยตัดสินใจขับกลับคอนโด เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที เมื่อถึงคอนโดกันคนเห็นหน้าผมดึงหมวกมาสวมให้แล้วดึงปิดหน้าไว้ โอบเอวให้มั่นกึ่งลากกึ่งจูงเข้าลิฟท์ โชคดีที่คนไม่พลุกพล่านเหมือนทุกวัน ผมรีบเปิดประตูเข้าห้องเพราะ เจ้าตัวเล็กนี่ทำท่าจะขย้อน “เฮ้ย!!อย่าเพิ่งปล่อยตรงนี้นะ อดทนอีกนิดนึง ฉันกำลังจะพานายไปห้องน้ำ แป๊บนะ เหมียวโจว” คนเมาโวยวาย “ม่ายช่าย เหมียวโจวเว้ย ชื่อ โจว โจว เอิ๊ก” ผมรีบปิดปากกลัวใครได้ยิน ผมดุเบาๆ “จะโวยวายทำไม ห๊ะ!!!ไอ้แมวแสบ กินที่ปากเมาที่ขา” เจ้ากรรมคนร่างบางสุดกลั้นขย้อนเต็มที่ทะลักเต็มฝ่ามือผม “อี๊!!!!ไอ้แมวแสบ” คราวนี้ผมบ่นเสียงดัง เหม็นอ๊วกคนเมาก็เหม็นลากคนร่างเล็กเข้าห้องน้ำ อยากจะลาดน้ำให้เปียกทั้งตัวนัก “ท่าจะเมาขนาดนี้จะกินอะไรนักหนาว่ะ” ผมจับคนร่างเล็กนั่งบนชักโครก หยิบผ้ามาเช็ดหน้าให้ คนร่างบางสะบัดหน้าหนี “ม่ายอาวววว จานอนนน” ผมชักหงุดหงิด “เออ เดี๋ยวปล่อยให้นอนทั้งเหม็นๆ ซะนี่ แมวแสบ นายทำห้องน้ำฉันเลอะเทอะไปหมดเห็นมั้ย นี่ยังไม่รวมกลิ่นอีกนะ” คนเมาหารับรู้ด้วยรึก็ไม่ ผมค่อยๆ ถอดเสื้อตัวนอกออกเอาไปแช่เพราะเหม็นอ๊วกสุดจะทน “แล้วกางเกง รุ่งริ่งนี่จะทำไงดีว่ะ เหมียวโจว แกนี่มันจริงๆ เลย” ปากบ่นแต่ก็พยายามถอดให้แล้วหยิบกางเกงยางยืดตัวโคร่งมาสวมให้ แล้วค่อยแบกไปนอนที่โซฟา หน้าตาที่ไร้การแต่งหน้ายามนี้ กระจ่างใสไม่ต่างจากเด็กมัธยมปลายเลย ปากระเรื่ออมชมพูเผยอน้อยๆ จนคนมองอย่างเราเคลิ้มให้เข้าไปใกล้ แต่ “เฮ้ย!!นี่เราเป็นอะไร บ้าน่า!!” ผมสะบัดหัวเบาๆ ลุกขึ้นเดินไปอาบน้ำ เข้าห้องล้มตัวลงนอน แต่พอหลับตาภาพริมฝีปากระเรื่อนั้นก็เข้ามาหลอนอีกจนได้ “บ้าเอ๊ย!!” ผมตัดสินใจลุกขึ้น ไปอุ้มคนร่างบางมานอนที่เตียงห่มผ้าให้ แล้วล้มตัวลงนอนข้างๆ ใจผมเต้นโครมคราม หวง จิ่ง อวี้ นายเป็นบ้าอะไร  เขาเป็นผู้ชายเหมือนนายนะ กำลังจะเคลิ้มหลับแขนใครบางคนก็พาดทับกลางลำตัว แถมขาอีกข้าง จมูกกับปากอยู่แค่ต้นคอ ผมไม่กล้าแม้จะหันไปมองข่มตาให้หลับ แต่คนเมาหลับสนิทไปแล้ว

                     รุ่งเช้าแสงแดดสาดส่องผ่านม่านเข้ามา ผมปรือตาขึ้นบิดขี้เกียจเบาๆ กลัวคนข้างๆ จะตื่น อีกอย่างคนข้างๆ เล่นกอดผมนอนทั้งคืน อย่างกะหมอนข้าง ไม่นานคนข้างๆ ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับสะดุ้งสุดตัวลุกขึ้นนั่งราวกับติดสปริง ปากเม้มเข้าหากันแน่นก้มลงมองชุดที่ใส่ ผมแกล้งทำเป็นเหมือนว่าเพิ่งตื่น “อ้าว!!นายตื่นนานแล้วรึ” คนถูกถามเม้มปากแน่นไม่ตอบ ผมลุกขึ้นนั่งข้างๆ “นายเป็นอะไร” คนร่างเล็กส่ายหน้า “ปะ เปล่า ฉะ ฉันมานอนที่นี่ได้ยังไง” ผมอมยิ้ม “อ๋อ!!ฉันแบกนายมาเอง” คนร่างเล็กถามเร็วปรื๋อ “ทำไมนายไม่พาฉันไปส่งบ้าน” คราวนี้ผมชักหงุดหงิด “ก็นายเมามาก แล้วฉันก็ไม่รู้ว่าบ้านนายอยู่ที่ไหน” คนร่างเล็กยังคงถามต่อ “ใครเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ฉัน” ผมอยากตอบออกไปนักว่า “นายเปลี่ยนเอง” แต่ก็ไม่ทำ “ฉันเอง แต่ฉันไม่เห็นอะไรของนายหรอกนะ เพราะดูจากรูปร่าง คงจะเล็กมากไม่น่าดูเท่าไร” คราวนี้คนร่างเล็กแผดเสียงด่าทันที “นายมันบ้า!!!” ผมขำเดินออกไปอาบน้ำ อย่างสบายใจที่แกล้งเขาได้ก่อนจะเข้าห้องน้ำผมยังหันมาบอกคนร่างเล็ก “นายต้องเชื่อฟังฉันไม่งั้นฉันจะบอกให้ทุกคนรู้ว่านายเล็กมาก 55555” แล้วผลุบเข้าห้องน้ำไป มีเพียงสวี่เว่ยโจว ที่กัดฟันกรอดๆ หาทางเอาคืน “ตาบื้อ แค้นนี้ต้องชำระ!!” สวี่เว่ยโจวลุกขึ้นเดินรอบๆ ห้องครุ่นคิด เอ?? แล้วทำไมเรานอนกอดอีตาบื้อนั่นทั้งคืนด้วยนะ ช่างเถอะ!!ก็เราเมานี่ ไม่ผิดซะหน่อย นายนั่นแหละผิด ทำไมไม่แกะออกอ่ะ แต่คลับคล้ายคลับคราว่า นายออกคำสั่งว่าอะไรนะ??? นึกไม่ออก กำลังคิดเพลินๆ ประตูห้องน้ำก็เปิดผั๊วะ!!ออกมา “นาย!!ฉันตกใจนะ” หวง จิ่ง อวี้ หรี่ตามอง “แต่นี่มันห้องฉันป่ะ” สวี่เว่ยโจวกำมือแน่น “นาย!!” หวง จิ่ง อวี้ ยักคิ้วนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเดินไปหยิบกางเกงมาสวม “ไปอาบน้ำดิ เดี๋ยวจะพาไปส่ง” สวี่เว่ยโจวมองหาผ้าเช็ดตัว ผมดึงลิ้นชักหยิบผ้าเช็ดตัวส่งให้ ถึงเวลาเอาคืนแล้วซินะ สวี่เว่ยโจวคิด แล้วแกล้งกระชากผ้าแรงๆ ผมที่ไม่ทันระวังตัวถลาเหมือนนกปีกหักไปข้างหน้าเต็มที่ตามแรงโน้มถ่วงโลก สวี่เว่ยโจวหน้าเสีย เพราะปลาวาฬตัวโตพุ่งมาเต็มพิกัด ล้มทับเต็มๆ “อี๊!!!นาย ลุกเร็วๆ ดิ ฉันจะตายอยู่แล้ว” ผมนึกหมั่นไส้กับท่าทางรังเกียจนั่น แกล้งกระซิบที่หูเบาๆ “ตัวนายหอมจัง55555” สวี่เว่ยโจว

    หน้าแดงซ่านด้วยความอาย “ตาบื้อ!!!” ผมอมยิ้มไม่รีบลุกเพราะผมได้เปรียบ “นายต้องเชื่อฟังฉัน เหมียวโจว บอกง่ายๆ จำไว้” แล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว สวี่เว่ยโจวใจเต้นโครมครามหน้าแดงไม่หาย “นี่นายจะหน้าแดงไปไหนนักหนา รีบไปอาบน้ำ” ผมได้ทีออกคำสั่ง สวี่เว่ยโจวลุกขึ้นไปอาบน้ำอย่างขัดเคืองใจ “แล้วไม่ต้องคิดหาทางเอาคืนนะ ฉันรู้ทันนาย”

                         กว่าจะเสร็จธุระเล่นเอาสาย ผมรีบโทรหาเจ้หลี่ “เจ้ เหมียวโจวพักกับผมนะ เดี๋ยวผมจะพาออกไปกินข้าว” เจ้หลี่ตาเหลือก “ไม่ได้นะ ทำไมนายไม่พาน้องไปส่งคอนโด” แต่นึกได้ว่า ผมไม่รู้จักคอนโดของสวี่เว่ยโจว “เออ เจ้ลืมไปนายไม่รู้จักนี่น่า ให้น้องรออยู่นั่นแหละ เดี๋ยวเจ้ไปหาเอง แค่นี้นะ” ผมถอนใจ ยุ่งยากจริงผมนั่งดูทีวีเพลินๆ “นายๆ” สวี่เว่ยโจวเรียกเบาๆ ผมหันไปมองคนร่างเล็กยืนห่อตัว “เอ่อ นายมีเสื้อผ้าอีกมั้ย ฉันขอยืมหน่อย” ผมอมยิ้ม สวีเว่ยโจวนึกในใจ “ฉันเกลียดรอยยิ้มแบบนี้ที่สุด” ผมหาเสื้อยืดส่งให้ “อ่ะ ใส่ได้มั้ยอ่ะ” สวี่เว่ยโจวมัวแต่ครุ่นคิดไม่ทันระวังเสื้อจึงถูกโยนไว้บนหัวเต็มๆ ผมหันไปเห็นพอดี อดขำไม่ได้ “55555 เหมียวโจว ใครบื้อกันแน่ ห๊ะ!!” สวี่เว่ยโจวสุดทน กับความปากเสียของผมตรงเข้าทุบทันที “นาย!!!ตาบื้อปากเสีย นายอยากเจอดีใช่มั้ย นี่ๆ”

    ผมหันขวับหมั่นไส้มือเล็กที่ทุบไม่ยั้ง ผมรวบมือจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโต แล้วแกล้งโน้มหน้าเข้าไปใกล้ “นายรนหาที่อีกแล้วนะ” สวี่เว่ยโจวถอยกรูด เออ!!พลาดอีกแล้ว “เอ่อ!!!นายจะทำอะไร ฉันเป็นซุป’ตาร์นะ” ผมยักไหล่ “นั่นก็เรื่องของนาย” สวี่เว่ยโจพูดต่อ “ฉันจะฟ้องเจ้หลี่ ถ้านายกล้าแกล้งฉัน” ผมยักคิ้ว “ใครแกล้งนาย ใครเริ่มก่อน ใครเจ้าคิดเจ้าแค้น จ้องเอาคืน ตอบ!!!” สวี่เว่ยโจวหน้าเสีย เหมือนเด็กถูกต้อนให้จนมุม “เอิ่ม....ฉัน” แต่เหมือนโชคช่วยเสียงกริ่งดังขึ้น ผมรีบผละไปเปิดประตู เจ้หลี่โผล่พรวดเข้ามา “โจว โจว หิวมั้ย อ้าว!!ทำไมยังไม่แต่งตัว เดี๋ยวไม่สบาย นี่วาฬ นายมีเสื้อมั้ยยืมให้น้องใส่หน่อย เสื้อตัวเมื่อคืนล่ะ” โฮ๊ะ!!!นี่ก็อีกคน “เหม็นอ๊วกจะตาย จะใส่ได้ไงเจ้” เจ้หลี่ยิ้มแหยๆ ผมส่งเสื้อตัวใหม่ให้พร้อมกับกางเกงอีกตัว นึกในใจ “วุ่นวายพอกัน” เจ้หลี่ถามอีก “นายมีหมวกมั้ยอ่ะ แมสด้วย” ผมเลยโวยให้ “เจ้ ผมเป็นการ์ดนะ ไม่ใช่ซุป’ตาร์” เจ้หลี่หัวเราะ แหะ แหะ “แหม!!” ผมหาหมวกส่งให้ หาเสื้อที่มีฮู๊ดอีกตัวให้ใส่ทับคนร่างเล็กไม่พูดอะไร แต่เดินตัวงอกุมท้องแน่นหน้าตาเหยเก เจ้หลี่ตกใจ “โจว โจว นายเป็นอะไร” เจ้หลี่มะรุมมะตุ้มผมยืนอึ้งเมื่อกี้ยังมีแรงไล่ทุบไล่ตี คราวนี้หน้าซีดเผือด ตัวงอ “ไอ้แสบนายเล่นอะไร” สวี่เว่ยโจวหน้าซีดลงไปอีกคราวนี้ลงไปนอนที่พื้น “ฉะ ฉันปวดท้อง ปะ ปวดมาก” ผมคิดตามที่เหมียวพูด ก็นายแทบไม่มีอาหารตกถึงท้อง เมื่อวานก็นมกล่องเดี๋ยว ตอนเย็นซัดเบียร์ไปขนาดนั้น ผมคว้าแขนเหมียวโจวขึ้นพาดคอรวบร่างบางปลิวหวืดจากพื้น “นะ นายจะทำอะไร” เจ้หลี่ตกใจอีกคน “วาฬ นายจะทำอะไร” ผมไม่พูดดึงฮู๊ดปิดหน้า สวี่เว่ยโจวเอาไว้ “ให้ผมเป็นการ์ดก็ต้องเชื่อมั่นผมนะเจ้” ก่อนที่คนร่างเล็กจะค่อยๆ หมดสติไป ผมนำคนร่างเล็กส่งโรงพยาบาลทำหน้าเข้มใส่หมอที่มาตรวจ เป็นเชิงบอกให้รูดซิปปาก หมอก้มหน้าก้มตาตรวจแล้วหันมาบอก “คนไข้เป็นโรคกระเพาะนะ แต่ถ้าปวดขนาดนี้ หมอขอเอ็กซ์เรย์หน่อยละกัน” ผมนั่งรอด้านนอกกับเจ้หลี่ “ขอบใจนะ หวง จิ่ง อวี้ นายสติดีมาก ฉันแทบสติแตก โจว โจว ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย” ผมพยักหน้า “ก็เขาไม่ได้กินข้าว กินนมแค่กล่องเดียว แถมยังซัดเบียร์จนเมาปลิ้น” เจ้หลี่หน้าสลดนึกโทษตัวเองที่ดูแลน้องไม่ดี “ถ้าน้องเป็นอะไร ฉันจะไม่ให้อภัยตัวเองเลย” เจ้หลี่พึมพำชะเง้อคอมองเป็นระยะๆ ไม่นานนักหมอก็ออกมา “คนไข้เป็นแผลที่กระเพาะ ควรทานอาหารให้เป็นเวลานะครับ ช่วงนี้งด น้ำชา กาแฟ เหล้า เบียร์ ให้ทานอาหารอ่อนๆ นะครับ เดี๋ยวให้น้ำเกลือขวดนึง เพราะคนไข้อ่อนเพลียมาก” เจ้หลี่พยักหน้าหงึกหงัก ผมถอนใจเบาๆนึกมองย้อนไปภาพที่เขาเล่นกีตาร์บนเวที หน้าตาสดใสมีความสุข แต่ดูตอนนี้ซิ!!!ซีดเซียวผิดเป็นคนละคน แก้มอมชมพูนิดๆ “วาฬๆ เจ้ขอไปเดินยืดเส้นยืดสายแป๊บนะ นายเฝ้าน้องให้หน่อย” ผมพยักหน้า ผมลากเก้าอี้ไปนั่งข้างๆ เตียงคนป่วยนอนนิ่งๆ ปากแห้งเป็นฝ้า ผมเอามือไปอังที่หน้าผากเบาๆ แต่คนตัวเล็กสะดุ้งยังไม่ทันลืมตา “ขอน้ำหน่อย” ผมรีบป้อนน้ำเข้าปาก “ขอบคุณครับ” ผมรีบตอบ “ไม่เป็นไร วันนี้สงบศึกยกให้นายหนึ่งวัน” คราวนี้คนตัวเล็กลืมตา ทะลึ่งพรวดลุกนั่ง “นาย!!” ผมยึดไหล่สองข้างมั่น “นายจะลุกทำไม นอนๆ นายให้น้ำเกลืออยู่นะ” คนตัวเล็กปัดมือผมออกจากการเกาะกุม ผมกระซิบข้างหู “ถ้านายดื้อฉันจะบอกเรื่องที่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้นายนะ” สวี่เว่ยโจวหันขวับ “นาย!!” ผมหัวเราะอย่างเป็นต่อ “จะนอนมั้ย เลือดจะไหลย้อนเห็นมั้ย จะดื้อไปไหน รึจะอ้อนให้อุ้มอีก” สวีเว่ยโจวหันขวับโกรธจนหน้าแดง “ใครอยากให้นายอุ้ม”ผมทำหน้าล้อเลียน “นายไง เหมียวโจว” สวี่เว่ยโจวโมโหง้างมือจะทุบ แต่ปวดท้องรุนแรงจนตัวงอ “โอ้ย!!!ฉันปวดท้องอีกแล้ว” คราวนี้ผมหน้าเสีย เขาคงจะปวดน่าดู ตัวงออีกแล้ว “ฉันขอโทษ ฉันจะไม่ยั่วนายอีกแล้ว” สวี่เว่ยโจวหรี่ตามองแต่ยังกุมท้องแน่น “นายแน่ใจนะ นายจะไม่กวนฉันอีก ไม่งั้นฉันจะเครียดแล้วปวดท้องอีก” ผมพยักหน้า “อืม..รับปาก” สวี่เว่ยโจวล้มตัวลงนอนยิ้มแฉ่ง “ฉันหายล่ะ!!” ผมตาโต “ห๊ะ!!!” สวี่เว่ยโจวยิ้มจนเห็นฟันเรียงกันมีเขี้ยวนิดๆ “อืม...ฉันหายแล้ว” ผมกัดฟันกรอด “นาย!!” ผมพูดแค่นั้นแล้วกระโจนใส่ทันที สองมือจิ้มที่เอวบางๆ ไม่ยั้ง “อร๊ายยย นายจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ ฉันจะฟ้องเจ้หลี่ ฉันจะฟ้องหมอ” ผมไม่ฟังจิ้มๆๆๆ ไม่ยั้งจนคนตัวเล็ก บอกว่า “ยอมแล้วๆๆ” เจ้หลี่กลับมาพอดี ยืนงงที่หน้าประตู “พวกนายเล่นอะไรกัน”

                          ผมอ้ำอึ้งที่จะตอบ เออ!! นั่นดิ เราเล่นอะไร เป็นการ์ดมาตั้งหลายครั้งหลายครา ทำไมเราไม่เคยเล่นกับใครแบบนี้เลย บ้า!!ชะมัดสวี่เว่ยโจวยิ้มแห้งๆหลุดความเป็นซุป’ตาร์ ไปชั่วขณะ “พวกเธอนี่!!!” เจ้หลี่ดุกรายๆเหมียวโจวทำเป็นนอนหันหลังนิ่งๆ “เนียนเลยนะ” ผมนึกใจ เจ้หลี่ยกถุงผลไม้ยื่นมาตรงหน้าผม “อ่ะ กินดิ” ผมมองหน้า “วางยาผมรึเปล่าเนี่ย” เจ้หลี่หัวเราะจนเห็นฟันขาว “บ้ารึไง ว่าไปเรื่อย กินๆ ซะ ไม่หิวรึไง” ผมอมยิ้มส่ายหน้า “ผมไม่ค่อยชอบผลไม้เท่าไร” เจ้หลี่พยักหน้าหงึกๆ “ถ้านายหิวข้าวก็ลงไปหาอะไรกินได้เลยนะ เจ้อนุญาต” ผมเดินออกมาจากห้องคนป่วยทันที คนตัวเล็กพลิกตัวนอนหงายตามปกติ “เป็นไงบ้าง โจว โจว ปวดอีกมั้ย” เจ้หลี่ถามแต่ดูเหมือนคนตัวเล็กจะไม่ได้สนใจฟังจ้องมองออกไปนอกห้องตามช่องประตูเล็กๆ นั่น “โจว โจว” เจ้หลี่เรียกอีกครั้ง “ว่าไงเจ้ เรียกซะดัง” เจ้หลี่ค้อนให้วงใหญ่ “ที่พูดเมื่อกี้ไม่ได้ฟังเลยใช่มั้ย” สวี่เว่ยโจวยิ้มหัวเราะ แหะ แหะ “เป็นอะไรใจลอยนะเรา” สวี่เว่ยโจวไม่ตอบ แต่นึกในใจ “ตาบื้อ นายคงเหนื่อยเนาะ ขอบใจนะที่แบกฉันมาส่งโรงพยาบาล” จากนั้นจึงพูดเบาๆ ขึ้นว่า “เพลียจังขอนอนก่อนนะ เจ้หลี่” เจ้หลี่มองตามห่มผ้าให้ “นอนพักเยอะๆ” ผมเดินดูโน่น นี่ นั่น เพื่อหาของกินจนไปเห็นข้าวปั้น เออ!!หน้าตาน่ากินดี แฮะ!!! ผมตรงรี่เข้าไปหยิบมาพิจารณาดูแล้วคว้ามา สองชิ้นนั่งกินอย่างสบายใจ เหลือบเห็นนมไวตามิลนึกได้ว่า คนตัวเล็กน่าจะกินได้ จึงคว้ามาอีกสองกล่องแล้วลุกเดินตรงรี่ไปห้องคนป่วยทันที เมื่อประตูเปิดออก สภาพคือ เจ้หลี่นั่งหลับคอพับอยู่ข้างๆ เตียงผมค่อยๆ ปิดประตูลงเงียบๆ แล้วค่อยๆ เดินอ้อมมาอีกทางเอามือแตะที่คนตัวเล็ก เขาค่อยๆ ปรือตาขึ้นมอง “นาย!!” ผมพยักหน้าส่งหลอดกล่องนมให้ คนตัวเล็กเม้มปากแน่น เหมือนงอนที่ไปไม่บอก ผมทำหน้าดุใส่ แล้วจ่อหลอดดูดที่ปาก คนตัวเล็กค่อยๆ ดูดนมในกล่อง ผมยิ้ม “นายหิวมั้ย” คนตัวเล็กพยักหน้า “อยากกินอะไรที่มันแซ่บๆ” สวี่เว่ยโจว

    บอกเมื่อนมหมดกล่อง “นายยังกินไม่ได้นะ กระเพาะนายไม่ดี” สวี่เว่ยโจวเบะปาก “ถ้าหายอ่ะ นายพาไปกินได้มั้ย” ผมชี้ที่อกตัวเอง “ฉันเนี่ยนะ นายคิดจะเอาคืนฉันรึไง” คนตัวเล็กอมยิ้ม “เปล่านะ” ผมอมยิ้มบ้าง เจ้หลี่บิดขี้เกียจปิดปากหาว “อ้าว!!นายมาตอนไหนอ่ะ”คราวนี้ผมหัวเราะ “เจ้ เขาให้เฝ้าคนป่วยหลับได้ไง” เจ้หลี่ยิ้ม “แหม!!มันก็มีบ้างแหละ คนมันง่วงนิน่า” ผมยิ้มที่มุมปากส่ายหน้าน้อยๆ โดยไม่มีใครได้สังเกตแววตาท่าทางของคนร่างเล็กที่มีแววตาวิบวับ มากกว่าทุกวัน เจ้หลี่เดินมาแตะที่แขนสวี่เว่ยโจวเบาๆ “ปวดท้องอีกมั้ย โจว โจว” คนถูกถามส่ายหน้าไปมา “น้ำเกลือใกล้หมดแล้ว อีกสักพักจะได้กลับบ้านได้” ผมเหลือบตามองขวดน้ำเกลือตามที่เจ้หลี่บอก ผมมองหน้าคนตัวเล็กพบว่าสีหน้าดีขึ้นมาก สวี่เว่ยโจวเองก็อมยิ้ม “เจ้หลี่ ผมอยากเข้าห้องน้ำ” เจ้หลี่รีบกุรีกุจอพาเข้าห้องน้ำด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ ผมเลยเข้าไปช่วยอีกคน เจ้หลี่เลยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมโดยปริยาย สวี่เว่ยโจวมองหน้าผม “เจ้หลี่!!” สวี่เว่ยโจวพูดได้แค่นั้น “เดินดีๆ อย่าเรื่องมาก นายอยากเข้าห้องน้ำไม่ใช่รึไง” สวี่เว่ยโจวสูดอากาศเข้าปอดอย่างหวาดๆ “นาย!!” ผมยิ้มอย่างเป็นต่อ “อย่าดื้อ!!” สวี่เว่ยโจวเม้มปากอย่างเคืองๆ เชิดหน้าขึ้นทันที ผมอดยิ้มกับท่าทางความรั้นนั้นไม่ได้ “อย่าดื้อ นายไม่สบายอยู่นะ ถ้าหายดีแล้วค่อยดื้อ ฉันจะไม่ว่านายเลย” คราวนี้ได้ผล

    สวี่เว่ยโจวค่อยๆ เดินเข้าห้องน้ำไป “ฮึ!!ตาบื้อ ปลาวาฬยักษ์ นึกเท่ห์นักรึไง ขู่ตลอด เช๊อะ!! ปลาวาฬผี” ดูนะ ความดื้อรั้นของสวี่เว่ยโจว พกไว้เต็มกระเป๋า เอาละซิผมจะปราบพยศได้ยังไงนะ เฮี้ยว!!ขนาดนี้รั้นได้ทุกเรื่อง เจ้าความคิดตลอด เฮ้อ!!!คิดแล้วผมชักปวดหัวแล้ว งานทุกงานไม่เคยยุ่งยากแต่งานนี้ผมเหมือนออกรบทุกวันเลยทีเดียว!!!
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×